วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไก่ชนที่ดี

กษณะที่ดีของไก่ชน
อวัยวะส่วนสำคัญของไก่ชนอีกอย่างหนึ่ง ที่ในตำราโบราณได้ว่าไว้นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "นิ้ว ไก่" ว่ากันว่านิ้วของไก่ตัวใดที่ถูกต้องตามตำรานั้น ย่อมจะแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของไก่ที่มีความเก่งฉกาจเหนือไก่ธรรมดาโดยทั่วไป โดยตำราโบราณได้กล่าวถึงรายละเอียดของนิ้วไก่ที่ดีดังต่อไปนี้ 
สุดยอดของไก่ตามตำราที่ว่าไว้ก็คือ ลักษณะ "ก้อย 5 หน้า 21"หรือ "ก้อย 5 หน้า 16 ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน โดยตามตำราถือว่าเป็นสูตรของนิ้วไก่ที่ดี และทั้งสองลักษณะดังกล่าวจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป
 

ลักษณะที่ 1 "ก้อย 5 หน้า 21" 
คำว่าก้อยนั้นหมายถึงนิ้วก้อยหลังของไก่ ส่วนคำว่าหน้าก็มีความหมายถึงนิ้วกลางของไก่นั่นเอง สำหรับตัวเลขที่กำกับอยู่นั้น หมายถึงจำนวนของเกล็ดที่มีอยู่บนนิ้วซึ่งจะนับตั้งแต่ปลายเล็บไปถึงโคนนิ้ว ดังนั้นคำว่า "ก้อย 5 หน้า 21" จึงหมายถึงเกล็ดบนนิ้วของไก่ ซึ่งก้อยหลังควรจะมี 5 เกล็ดและนิ้วกลางควรจะมี 21 เกล็ดนั้นเอง 
ลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ว่า
 เมื่อยามที่ไก่ยืนอยู่เฉยๆ จะมองเห็นเป็นมุมซึ่งเป็นจุดตัดแบ่งแยกระหว่างเกล็ดของนิ้วกับเกล็ดของแข้งพอดี ไก่ตัวใดที่มีนิ้วตรงตามตำรา คือก้อย 5 หน้า 21 ก็ถือได้ว่าเป็นไก่ที่มีนิ้วเป็น "นิ้วขุนนาง" เป็นไก่ที่มีความสามารถในการตีสูง คือตีไก่เจ็บ ตีไก่กลัว และหนีเอาง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะโดนเจ็บไม่เท่าไหร่ก็ตาม เรียกว่าตีไก่กลัวง่ายนั้นเอง ไก่ประเภทนี้ ส่วนใหญ่มักจะใช้นิ้วที่ยาวเรียวเป็นอาวุธในการโจมตีคู่ต่อสู้มากกว่าจะใช้เดือย 


ลักษณะที่ 2 "ก้อย 5 หน้า 16" 
ลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับไก่นิ้ว "ก้อย 5 หน้า 21" จะต่างกันเพียงจำนวนตัวเลขของเกล็ดนิ้วกลางที่จะมีอยู่เพียง 16 เกล็ด ไก่ประเภทนี้ตามตำรากล่าวเอาไว้ว่าจะเป็นไก่ที่มีฝีตีนจัดจ้านมาก มีความว่องไวสูง มีความหนักหน่วงทุกท่วงทำนองการตี หากตีคู่ต่อสู้ในแต่ละทีมักจะเกิดอาการหักง่ายๆเหมือนกัน 
ไก่ที่มีนิ้วประเภทนี้
 แม้จะตีคู่ต่อสู้หักไม่กลัวจนหนีไปเหมือนกับไก่ที่มีเกล็ดนิ้วหน้า 21 เกล็ดก็ตาม แต่ก็สามารถที่จะทำให้คู่ต่อสู้หักจนตายได้ง่ายเหมือนกัน เช่นเดียวกับคำที่เรียกว่า "มะขามข้อเดียว" ซึ่งมีพละกำลังเหนือปกติธรรมดานั้นเอง 
สำหรับก้อยหลังที่มี 5 เกล็ดนี้
 ตามตำราได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ไก่ที่มีเกล็ดนิ้วก้อยหลัง 5 เกล็ด หมายถึงจะเป็นไก่ที่มี เพลงตีที่เจ็บปวดและสามารถทำให้คู่ต่อสู้หักได้ 
ไก่นิ้วงามตามตำรา
 จึงหมายถึงไก่ที่มีเกล็ดตรงตามตำราดังกล่าว โดยทั้งก้อยหลังและนิ้วกลางหน้า ควรจะต้องมีครบทั้งหน้าและหลัง ไม่ใช่มีแต่เพียงก้อยหลังอย่างเดียว หรือนิ้วก้อยหน้าเพียงอย่างเดียว จึงจะเรียกได้ว่าเป็นไก่นิ้วงามตามตำราจริงๆ 
การนับเกล็ดอย่างถูกวิธีนั้น
 กระทำได้โดยก่อนนับให้จับไก่ขึ้นแล้วดูที่โคนนิ้ว จับไก่ให้ยืนอยู่เฉยๆ แล้วเริ่มนับตั้งแต่เกล็ดที่อยู่ตรงมุมพับของนิ้วพอดีเป็นเกล็ดแรก หากมีการทับกันระหว่างเกล็ดหน้าแข้งกับเกล็ดนิ้ว จะต้องดูให้ดี ต้องแยกให้ชัดเจนว่าเกล็ดที่ถูกทับนั้นเป็นเกล็ดของนิ้วหรือเกล็ดของแข้งกันแน่ 

วิธีสังเกตง่ายๆก็คือ ให้แหวกดู ถ้าเกล็ดหงายขึ้นก็ถือว่าเป็นเกล็ดของนิ้ว หากเกล็ดตะแคงข้างก็ให้สรุปไปเลยว่าเป็นเกล็ดของแข้ง ให้เริ่มนับมาจนถึงปลายนิ้ว ว่ามีกี่เกล็ด หากถูกต้องตามตำราก็ถือว่าเป็นไก่ที่มีนิ้วงามถูกต้องตามตำราโบราณ 
โดยทั่วไปแล้ว ไก่ที่มีเกล็ดนิ้วงามตามตำรา จะมีอยู่ไม่มากมายนัก จัดได้ว่าหายากพอสมควร ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว ก้อยหลังของไก่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 6 เกล็ดและนิ้วกลางจะมีอยู่ 19-20 เกล็ดเท่านั้น
                         เกล็ดและแข้ง 

ขาไก่หรือแข้งไก่ลักษณะที่ดีนั้น ปั้นขาต้องใหญ่ แข้งเรียวเล็กกลม 
แข้งลักษณะนี้จะตีเจ็บ แต่บางท่านจะชอบแข้งใหญ่ 
ส่วนคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่จะชอบไม่เหมือนกัน คนรุ่นเก่า 
จะชอบแข้งไก่ที่ค่อนข้างเล็กและแข้งกลม คนรุ่นใหม่จะชอบแข้งที่เป็นเหลี่ยม 

ลักษณะของไก่แข้งกลม คือ แข้งกลมหน้าและหลัง ด้านหน้าของหน้าแข้งค่อนข้างโค้งกลม 
ส่วนด้านข้างทั้งสองของแข้งก็โค้งกลม มีท้องแข้งปูดอิ่มกลมมน
จึงทำให้แข้งไก่นั้นกลมเรียกว่า แข้งคัด หรือ แข้งเรียวหวาย 

ลักษณะของไก่แข้งเหลี่ยม คือ จะมีเกล็ดหน้าแห้งไม่แถวใดก็แถวหนึ่ง หรืออาจจะทั้ง 2 แถว 
ทั้งนอกและใน เป็นขอบสันนูนขึ้นและเรียงต่อกันเป็นแถว ตั้งแต่หัวเข่า จนถึงข้อเท้า 
ถ้าเป็นกับเกล็ดแข้งทั้ง2 แถวและเป็นสันอยู่ด้านข้างเรียกว่า เกล็ดแข้งเปิดเป็นปีก 
ไก่แข้งเหลี่ยมมักเป็นไก่ที่มีเกล็ดหน้าแข้งหนานูนแข็งแรงดี ท้องแข้งไก่นั้น ควรอิ่มเป็นสันนูน 
ทั้งนี้เพราะมีกระดูกหน้าแข้งทางด้านหลังงอกออกมาเป็นสันยาวจากเดือยตรงขึ้นไปหาเข่า 
ตามแนวของเกล็ดนำเดือย 

ไข่ไก่มีประโยชน์ (100%) จริงหือ

ไข่เป็นอาหารที่หาทานได้ง่าย ราคาถูก สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่าง แต่เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่ทางการแพทย์พบว่า ไข่ประกอบด้วยคลอเรสเตอรอล ที่ทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และทำให้อัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด จึงมีคำแนะนำว่าในผู้ใหญ่ไม่ควรทานไข่เกินสัปดาห์ละ 3ฟอง แต่จากการวิจัยในระยะหลังๆ พบว่า คลอเรสเตอรอลที่มีในไข่ มีผลต่อคลอเรสเตอรอลในเลือดน้อยมาก
ดังนั้นจึงเริ่มมีการรณรงค์ให้ทานไข่กันมากขึ้น และเพิ่มคำแนะนำให้ทานไข่วันละหนึ่งฟอง คำแนะนำใหม่นี้ใช้ได้จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย หรือเป็นเพียงคำโฆษณา
องค์ประกอบของไข่ แบ่งออกเป็น สามส่วนใหญ่ๆ คือ
1. เปลือกไข่ (Shell) เป็นเปลือกแข็ง ห่อหุ้มด้านนอก
2. ไข่ขาว (White egg) มีลักษณะเหลวใสหรือสีเหลืองอ่อนห่อหุ้มไข่แดง
3. ไข่แดง (Yolk egg) มีทรงกลมมีส้มหรือแดง อยู่ตรงกลาง ถ้ามีไข่ที่มีเชื้อ ส่วนของไข่แดงจะเปลี่ยนไปเป็นตัวอ่อนและฟักออกมาเป็นตัวได้
คุณค่าทางโภชนาการ

ไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารหลายชนิดอยู่ภายในไข่ ในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย(Essentil aminoacid) ส่วนในไข่แดงจะมีสารอาหารหลายชนิด ได้แก่โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ
ไขมันในไข่แดงส่วนใหญ่จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมถึงomega-3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอลและปลาทะเล ส่วนคลอเรสเตอรอลจะมีเฉพาะในไข่แดง ไม่มีในไข่ขาว
สารอาหารอื่นได้แก่ ธาตุเหล็ก โฟลิก(Folic acid) ไรโบเฟลวิน(Riboflavin) โคลีน (choline) วิตามินเอ บี ดี และ อี วิตามินที่ไม่พบในไข่คือ วิตามินซี
ธาตุเหล็กในไข่ มีคุณค่าเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ แต่เคี้ยวง่ายไม่เหนียวเหมือนเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสมกับเด็กทารก และคนสูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟัน
โฟลิก เป็นสารที่ป้องกันเลือดจาง และป้องกันความพิการแต่กำเนิด มีความจำเป็นในหญิงที่ตั้งครรภ์
โคลีน(Choline) เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างความจำ(Cognitive function) ช่วยพัฒนาการในเด็กที่กำลังเติบโต
จะเห็นได้ว่าไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก ให้สารอาหารที่เกือบครบถ้วน ในขณะที่ราคาถูกกว่าอาหารอื่นๆที่มีคุณค่าทางอาหารเท่ากัน สามารถทำเป็นอาหารได้หลายชนิด
ไข่กับคลอเรสเตอรอลและโรคหัวใจขาดเลือด

ในวงการแพทย์มีความกังวลในคลอเรสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่ที่อาจจะเป็นเป็นต้นเหตุของไขมันในเลือดสูง ซึ่งจะก่อปัญหาให้กับอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่ในงานวิจัยที่พบภายหลัง พบว่าคลอเรสเตอรอลในไข่มีผลทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นความกลัวคลอเรสเตอรอลในไข่เริ่มลดลง โดยในสมาคมหัวใจของ สหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) ได้เปลี่ยนคำแนะนำในการทานไข่ ซึ่งจากเดิมไม่ควรเกิน 3ฟองต่อสัปดาห์ เป็น วันละไม่เกินหนึ่งฟอง
ความปลอดภัยในไข่
ภัยหนึ่งที่อาจพบได้ในไข่คือ เชื้อโรคชื่อ Samonella Enteritidis เชื้อนี้พบว่าเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย
สาเหตุที่มีเชื้อปนเปื้อนในไข่พบว่าเกิดจากสองสาเหตุคือ สาเหตุแรก ที่เป็นสาเหตุใหญ่คือการที่เปลือกไข่มีเลือดหรืออุจจาระปนเปื้อนในขณะที่ทำการเก็บไข่ เกิดจากการเลี้ยงไก้ในที่ไม่สะอาด ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นในการเลือกไข่ ควรเลือกไข่ที่ผิวสะอาด ไม่มีสิ่งปนเปื้อนที่เปลือกไข่ ถ้าเปลือกไข่เปื้อนมากควรทำการเช็ดผิวให้สะอาดก่อนที่จะทำการเก็บ
สาเหตุที่สองคือ การที่แม่ไก่ป่วยติดเชื้อ และเชื้อไปฝังตัวอยู่ในรังไข่ เมื่อออกมาเป็นไข่จะมีเชื้ออยู่ในไข่แดง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการทานไข่ดิบ ควรทำให้สุกก่อนทาน
เชื้อ Samonella จะเจริญได้ดีในอุณหภูมิห้อง แต่เจริญลดลงในอุณหภูมิที่เย็น ดังนั้นจึงควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น ซึ่งไข่ที่เก็บในตู้เย็นสามารถเก็บไว้ได้นาน 3 สัปดาห์ โดยที่ไข่ไม่เสีย
การทานไข่อย่างฉลาด
นอกจากการทานไข่ควรทำให้สุกแล้ว การทานไข่ในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไข่ชนิดอื่น การทำไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ในการปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว อาหารที่ควรทำ คือ สลัดไข่ หรือยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารจากไข่ มีไฟเบอร์และวิตามินซีจากผัก และผลไม้
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาว ใส่เบคอน ไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปัง
ควรเลือกทานไข่ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ไข่ไก่ ไข่เป็ด มากกว่าไข่ฟองเล็ก เช่น ไข่นกกระทา เพราะปริมาณคลอเรสเตอรอลในไข่ใบใหญ่จะน้อยกว่าในไข่ใบเล็ก เมื่อเทียบกันในปริมาณเท่ากัน
ไข่วันละฟองทานได้หรือไม่
ในคนทั่วไป การทานไข่วันละฟองถือว่าไม่มากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ แนะนำให้ทานไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทน เนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุ ถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการทานไข่แดง ทานเฉพาะไข่ขาวเท่านั้น
คนที่ไม่ควรทานไข่มากเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ คือคนที่มีไขมันในเลือดสูง และจำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือด
ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ก็คงต้องงดทาน เพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้
ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี มีการผลิตไข่ที่สามารถทานได้ตลอดปี และมีแหล่งผลิตที่ดีและสะอาด ราคาไม่แพง ดังนั้นเราจึงควรเลือกทานอาหารโปรตีนที่มาจากไข่ มากกว่าการเลือกทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ซึ่งคุณค่าทางอาหารสู้ไข่ไม่ได้ค่ะ
โคเลสเตอรอล เป็นสารไขมันชนิดหนึ่งคล้ายขี้ผึ้ง ปรากฏอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายชนิดภายในร่างกาย แต่โคเลสเตอรอลก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงอยู่นาน อย่างไรก็ตามประโยชน์ของโคเลสเตอรอลนอกจากเป็นสารที่ให้พลังงานแล้วร่างกายยังนำมาใช้ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนบางอย่างด้วย
หน้าที่ของโคเลสเตอรอล โคเลสเตอรอลมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย 3 ประการคือ (1) เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ (2) เป็นต้นกำเนิดของกรดน้ำดี
(3) เป็นต้นกำเนิดของฮอร์โมนสเตียรอยด์
โคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ จากการศึกษาพบว่าโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบมากถึง 20-25% และเป็นลักษณะเฉพาะของเยื่อหุ้มเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในเซลล์พืชพบโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์น้อยมาก และไม่พบโคเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเลยแม้แต่น้อย นักชีวเคมีอธิบายว่าทั้งนี้เนื่องมาจากโครงสร้างที่เป็นวงแหวนชนิดม้วนวนของโคเลสเตอรอล ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนย้ายของสารเหลวที่ผ่านเข้าและออกจากเซลล์ ในร่างกายของมนุษย์ พบโคเลสเตอรอลมากที่สุดในอวัยวะ 3 ชนิด คือ สมอง ไขสันหลัง และตับ
โคเลสเตอรอลเป็นต้นกำเนิดของกรดน้ำดี (bile acids) ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมของไขมันและวิตามินที่ละลายในไขมันจากลำไส้เล็ก ร่างกายขับโคเลสเตอรอลออกจากร่างกายในรูปของกรดน้ำดี ตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างกรดน้ำดี บางครั้งเกิดการตกผลึกเป็นตะกอนภายในถุงน้ำดี เกิดเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิ่วโคเลสเตอรอล แตกต่างจากนิ่วในใตและระบบทางเดินปัสสาวะ
โคเลสเตอรอลถือเป็นต้นกำเนิดของฮอร์โมนสเตียรอยด์ (steroid hormone) หลายชนิด เช่น คอร์ติซอล คอร์ติโซน อัลโดสเตอโรน จากต่อมหมวกไต ฮอร์โมนเพศทั้งหลายอันได้แก่โปรเจสเตอโรน เอสโตรเจน และแอนโดรเจน นอกจากนี้ยังเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์วิตามินดีชนิด D3แหล่งให้โคเลสเตอรอลของร่างกายมนุษย์ โคเลสเตอรอลภายในร่างกายได้มาจาก 2 ทาง คือจากอาหารและโคเลสเตอรอลที่ร่างกายสร้างขึ้น หลักสำคัญคือเฉพาะอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นถึงให้โคเลสเตอรอลโดยมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน ส่วนอาหารที่มาจากพืชไม่มีโคเลสเตอรอลอาหารที่มาจากพืชทุกชนิดจะไม่มีโคเลสเตอรอล โคเลสเตอรอลมาจากสัตว์เท่านั้น บางคนเข้าใจผิดว่าทุเรียน ขนุน มะพร้าว เป็นพืชที่มีโคเลสเตอรอลสูง ทุเรียน ขนุน มะพร้าว เป็นพืชจึงไม่มีโคเลสเตอรอล แต่อย่างไรก็ตาม ทุเรียน และขนุน เป็นผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ถ้ารับประทานมากๆ จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง ส่วนกะทิที่ได้จากมะพร้าว แม้ว่าไม่มีโคเลสเตอรอล แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งควรหลีกเลี่ยงเช่นกันน้ำมันถั่วเหลืองเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากถั่วเหลืองซึ่งเป็นพืช จึงไม่มีโคเลสเตอรอลเลย และน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ก็ไม่มีโคเลสเตอรอลเช่นเดียวกัน แต่จะมีปริมาณและชนิดของกรดไขมันแตกต่างกัน ส่วนอาหารเจเป็นอาหารที่ทำมาจากพืชเท่านั้น จึงไม่มีโคเลสเตอรอล ช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ แต่ถ้าเป็นอาหารเจที่มันจัด และมีแป้งมาก อาจทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้ ดังนั้นอาหารเจที่ดีควรใช้ไขมันไม่อิ่มตัวปรุง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว และพลังงานจากไขมันที่ได้รับจากอาหารทั้งวัน ไม่ควรเกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมด อาหารชนิดเดียวกัน ไม่ว่าจะทำให้สุกหรือเป็นอาหารดิบจะให้ปริมาณโคเลสเตอรอลเท่ากัน โดยทั่วไปอาหารดิบ 100 กรัม เมื่อทำให้สุกน้ำหนักมักลดลงไป เนื่องจากสูญเสียน้ำไปบางส่วน ทำให้น้ำหนักเหลือไม่ถึง 100 กรัม แต่ปริมาณโคเลสเตอรอลยังคงเท่าเดิม
ประมาณสี่ในห้าหรือ 80% ของโคเลสเตอรอลทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเองภายในร่างกาย ร่างกายสามารถสังเคราะห์โคเลสเตอรอลได้จากกรดอะซิติก (acetic acid) และอะซิติลโคเอ็นซัยม์เอ (acteyl coenzyme A) ซึ่งได้จากการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโปรตีน ภายในร่างกาย การสังเคราะห์โคเลสเตอรอลจากอะซิติลโคเอ็นซัยม์เอต้องผ่านปฎิกิริยาที่สำคัญ 7 ขั้นตอน อวัยวะที่ทำหน้าที่สร้างโคเลสเตอรอลมากคือ ตับ ลำไส้เล็ก ต่อมหมวกไต และอวัยวะสืบพันธุ์ คือ รังไข่ อัณฑะ และรก




ข้อมูลและวิธีเลือกซื้อ

 ข้อมูลทั่วไป
ไข่ที่นิยมบริโภคกันในเมืองไทย คือ ไข่ไก่ รองลงมาคือไข่เป็ด นอกจากนี้ยังมีไข่นกกระทาที่มีการบริโภคกัน ซึ่งมีขนาดเล็กมาก แต่ก็ไม่แพร่หลายเท่ากับไข่ไก่และไข่เป็ด
ประโยชน์ทางโภชนาการ
ไข่เป็ดอาหารที่มีโภชนาการสูง เนื่องจากไข่ไก่1 ฟอง ( 50 กรัม) ให้พลังงานประมาณ 75 แคลอรี่ และมีโปรตีนคุณภาพสูง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ไข่แดงมีไขมันประเภทอิ่มตัว รวมถึงโอเมกา -3 ที่ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดไปด้วย
ไข่ไก่มีแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูก รวมทั้งเป็นแหล่งวิตามินที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 และวิตามิน
นอกจากนี้ไข่ยังทำให้เรารู้สึกอิ่มนาน เพราะร่างกายจะผลิตฮอร์โมนพีพีวายซึ่งจะสื่อสารไปที่สมองว่าไม่หิว
คุณค่าของไข่ต้มสุกและไข่ลวกเท่ากัน ดังนั้นควรทานไข่สุขจะดีกว่า เราไม่ควรกินไข่ดิบเพราะในไข่ดิบอาจมีเชื้อโรค ซึ่งจะถูกทำลายไปเมื่อปรุงสุกแล้วและไข่ดิบยังย่อยยาก หากเรากินไข่ขาวดิบเข้าไปร่างกายก็ไม่สามารถดูดสารอาหารต่างๆได้ หากจะกินไข่ลวกควรให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน
สมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ผู้สูงวัยสามารถรับประทานไข่ไก่ได้วันละ 1-2 ฟอง
อย่างไรก็ตามหากท่านยังมีความกังวลในการควบคุมไขมันและคอเรสเตอรอล ควรเลือกทานแต่ไข่ขาวเพราะโปรตีนทั้งหมดอยู่ในไข่ขาว ส่วนไขมันอยู่ในไข่แดง
นอกจากนี้สมาคมค้นคว้าและวิจัยเพื่อการพัฒนาร่างกายและจิตใจของชาวจีนแนะนำว่า หากอายุไม่เกิน 40 ปี สามารถรับประทานไข่ไก่ได้วันละ 2 ฟอง
ส่วนผู้มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป สามารถรับประทานได้ วันละ 1 ฟอง ในคนที่ไม่มีคอเรสเตอรอลสูง ส่วนคนที่มีคอเรสเตอรอลสูง ควรรับประทานเฉพาะไข่ขาว และหมั่นออกกำลังการเป็นประจำ จะช่วยให้คอเรสเตอรอลตัวไม่ดี กลายเป็นคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์
วิธีการเลือกซื้อไข่
1.ควรเลือกซื้อไข่ที่มีเปลือกไข่ที่สะอาดไม่มีมูลติดมากับเปลือกไข่
2.เปลือกมีผิวเรียบ แข็ง ไม่มีรอยแตก หรือรอยบุบ
3.เปลือกไข่สดจะมีผิวคล้ายแป้งจับดูแล้วเนียน แป้งจับดูแล้วเนียน หากเปลือกไข่ลื่นมันแสดงว่าเป็นไข่เก่า
4.เมื่อนำไข่ส่องดูกับแสง เป็นไข่แดงกับไข่ขาวแยกออกกันชัดเจน แสดงว่าเป็นไข่ใหม่ ส่วนไข่ที่เสียจะทึบแสง ไข่แดงกระจายตัว มีจุดเงาดำ
5.ไข่ไก่ มีสีเปลือกน้ำตาลอ่อน หรือเข้มปานกลาง (ในต่างประเทศจะไม่นิยมทานไข่เป็ด แต่ไข่ไก่ในต่างประเทศจะมีเปลือกเป็นสีขาวเนืองจากเป็นคนละสายพันธุ์กับที่เลี้ยงในเมืองไทย) มีขนาดเล็กกว่าไข่เป็ดเมื่อกะเทาะเปลือก ไข่เป็ด มีเปลือกสีขาว มีขนาดใหญ่กว่า
6.เมื่อกะเทาะเปลือกแล้ว ไข่ไก่จะมีสีแดงจะมีสีเหลือง หรือสีเหลืองอมส้มอ่อน ในขณะที่ไข่เป็ด ไข่แดงจะมีสีค่อนข้างแดงเรื่อๆ มีสีเข้มกว่าไข่ไก่ และเมื่อต้มสุกเนื้อไข่เป็ดจะแข็งกว่าไข่ไก่ เหมาะสำหรับนำไปทำไข่พะโล้
การเก็บรักษา
1.การเก็บไข่ควรเก็บไว้ทั้งลูก ไม่ควรกะเทาะเปลือกเพราะจะทำให้เสียคุณภาพของไข่ และเก็บไว้ได้ไม่นาน
2.เมื่อซื้อไข่มาไม่ควรล้างไข่ เพราะจะทำให้ฝุ่นแป้งหลุดออกไปเป็นการเปิดรูพรุน ทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าไปได้ง่าย
3.ไม่ควรเก็บไข่ไว้ในอาหารที่มีกลิ่นฉุนอย่างกะปิ น้ำปลา
4.การเก็บไข่ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิปกติ และควรใส่ในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นธรรมดา ดีกว่าใส่ในช่องวางไข่ที่ฝาผนังตู้เย็นซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงทำให้ไข่เสียเร็วกว่าที่ควร ถ้าไม่มีตู้เย็นให้วางไว้ในตะกร้าโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี
5.การวางไข่ควรเอาด้านแหลมลงและให้ด้านป้านอยู่ข้างบน ไข่แดงจะอยู่ตรงกลาง หากวางไข่ด้านป้านลง ไข่แดงก็จะลอยขึ้น ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอกไข่ เวลาเก็บไข่ควรเอาด้านแหลมลงทุกครั้ง
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
ไข่เป็นอาหารที่บริโภคกันทั่วไป จนใช้ราคาไข่เป็นตัวชี้วัดค่าครองชีพของรัฐบาลแต่ละสมัย หากราคาไข่แพงแสดงว่าค่าครองชีพแพง
ในเมืองไทยนิยมบริโภคไข่ในรูปแบบต่างๆทั้งต้ม นึ่ง ปิ้ง ทอด เจียว ผัด พะโล้ โดยสามารถปรุงรสเฉพาะไข่ หรือนำไปผสมกับอาหารชนิดต่างๆ เช่นมะระผัดไข่ ข้าวผัดใส่ไข่ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยใส่ไข่ ไข่เจียวใส่ผักต่างๆ เป็นต้น
อ้างอิงจาก คูมื่อ ฉลาดซื้อ ฉลาดกิน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

คุณค่าของไข่

คุณค่าทางโภชนาการไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารหลายชนิดอยู่ภายในไข่ ในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential amino acid) ส่วนในไข่แดงจะมีสารอาหารหลายชนิด ได้แก่โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ ไขมันในไข่แดงส่วนใหญ่จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมถึง omega-3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอลและปลาทะเล ส่วนคลอเรสเตอรอลจะมีเฉพาะในไข่แดง ไม่มีในไข่ขาว
สารอาหารอื่นได้แก่ ธาตุเหล็ก โฟลิก (Folic acid) ไรโบเฟลวิน (Riboflavin) โคลีน (choline) วิตามินเอ บี ดี และ อี วิตามินที่ไม่พบในไข่คือ วิตามินซี ธาตุเหล็กในไข่ มีคุณค่าเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์ แต่เคี้ยวง่ายไม่เหนียวเหมือนเนื้อสัตว์ จึงเหมาะสมกับเด็กทารก และคนสูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟัน โฟลิกเป็นสารที่ป้องกันเลือดจาง และป้องกันความพิการแต่กำเนิด มีความจำเป็นในหญิงที่ตั้งครรภ์โคลีน (Choline) เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างความจำ (Cognitive function) ช่วยพัฒนาการในเด็กที่กำลังเติบโตจะเห็นได้ว่าไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก ให้สารอาหารที่เกือบครบถ้วน ในขณะที่ราคาถูกกว่าอาหารอื่นๆที่มีคุณค่าทางอาหารเท่ากัน สามารถทำเป็นอาหารได้หลายชนิด
มาถึงเรื่องไข่กับคลอเรสเตอรอลและโรคหัวใจขาดเลือด ในวงการแพทย์มีความกังวลในคลอเรสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่ที่อาจจะเป็นเป็นต้นเหตุของไขมันในเลือดสูง ซึ่งจะก่อปัญหาให้กับอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่ในงานวิจัยที่พบภายหลัง พบว่าคลอเรสเตอรอลในไข่มีผลทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นความกลัวคลอเรสเตอรอลในไข่เริ่มลดลง โดยในสมาคมหัวใจของ สหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) ได้เปลี่ยนคำแนะนำในการทานไข่ ซึ่งจากเดิมไม่ควรเกิน 3ฟองต่อสัปดาห์ เป็น วันละไม่เกินหนึ่งฟอง
ภัยหนึ่งที่อาจพบได้ในไข่คือ เชื้อโรคชื่อ Salmonella Enteritidis เชื้อนี้พบว่าเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสียสาเหตุที่มีเชื้อปนเปื้อนในไข่พบว่าเกิดจากสองสาเหตุคือ สาเหตุแรก ที่เป็นสาเหตุใหญ่คือการที่เปลือกไข่มีเลือดหรืออุจจาระปนเปื้อนในขณะที่ทำการเก็บไข่ เกิดจากการเลี้ยงไก้ในที่ไม่สะอาด ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นในการเลือกไข่ ควเลือกไข่ที่ผิวสะอาด ไม่มีสิ่งปนเปื้อนที่เปลือกไข่ ถ้าเปลือกไข่เปื้อนมากควรทำการเช็ดผิวให้สะอาดก่อนที่จะทำการเก็บสาเหตุที่สองคือ การที่แม่ไก่ป่วยติดเชื้อ และเชื้อไปฝังตัวอยู่ในรังไข่ เมื่อออกมาเป็นไข่จะมีเชื้ออยู่ในไข่แดง ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการทานไข่ดิบ ควรทำให้สุกก่อนทานเชื้อ Salmonella จะเจริญได้ดีในอุณหภูมิห้อง แต่เจริญลดลงในอุณหภูมิที่เย็น ดังนั้นจึงควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น ซึ่งไข่ที่เก็บในตู้เย็นสามารถเก็บไว้ได้นาน 3 สัปดาห์ โดยที่ไข่ไม่เสีย
นอกจากการทานไข่ควรทำให้สุกแล้ว การทานไข่ในรูปแบบไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ จะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไข่ชนิดอื่น การทำไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ในการปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว อาหารที่ควรทำ คือ สลัดไข่ หรือยำไข่ เพราะจะทำให้ได้สารจากไข่ มีไฟเบอร์และวิตามินซีจากผัก และผลไม้
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปังไข่ดาว ใส่เบคอน ไส้กรอก เพราะจะได้รับปริมาณไขมันสูงมากจากเบคอน น้ำมันที่ใช้ทอด และเนยที่ทาขนมปังควรเลือกทานไข่ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ไข่ไก่ ไข่เป็ด มากกว่าไข่ฟองเล็ก เช่น ไข่นกกระทา เพราะปริมาณคลอเรสเตอรอลในไข่ใบใหญ่จะน้อยกว่าในไข่ใบเล็ก เมื่อเทียบกันในปริมาณเท่ากัน
ในคนทั่วไป การทานไข่วันละฟองถือว่าไม่มากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต และในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องฟันที่ไม่สามารถทานอาหารโปรตีนอื่นได้ แนะนำให้ทานไข่เป็นแหล่งของโปรตีนแทน เนื้อสัตว์ ในคนสูงอายุ ถ้ามีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ในบางมื้ออาจหลีกเลี่ยงการทานไข่แดง ทานเฉพาะไข่ขาวเท่านั้น
คนที่ไม่ควรทานไข่มากเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ คือคนที่มีไขมันในเลือดสูง และจำเป็นต้องควบคุมไขมันในเลือดผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ ก็คงต้องงดทาน เพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี มีการผลิตไข่ที่สามารถทานได้ตลอดปี และมีแหล่งผลิตที่ดีและสะอาด ราคาไม่แพง ดังนั้นเราจึงควรเลือกทานอาหารโปรตีนที่มาจากไข่ มากกว่าการเลือกทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ซึ่งคุณค่าทางอาหารสู้ไข่ไม่ได้
 * ที่มา http://www.chiangmainews.co.th/viewnews.php?id=3905&lyo=1